ฮิตาชิ ลุยตลาดลิฟต์กัมพูชา รองรับการขยายธุรกิจอสังหาเมืองเขมร
ลิฟต์ฮิตาชิ เล็งเห็นการเติบโตของธุรกิจอสังหา อาคารสูง และคอนโดในกัมพูชา ที่กำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง ลงลุยตลาดลิฟต์ ชูคุณภาพ มาตราฐานและการบริการที่ประทับใจ เจาะกลุ่มนักธุรกิจรุ่นใหม่ ไฮโซขแมร์ ทื่มีกำลังซื้อสูง มั่นใจด้วยมาตราฐานของฮิตาชิ สามารถแข่งขันกับคู่แข่งอย่างจีนและเวียดนามได้แน่นอน ตั้งเป้า ครองส่วนแบ่งการตลาด 25% ภายในปี 2021
นายศักดิ์ชาย วรสง่าศิลป์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฮิตาชิ เอลลิเวเตอร์ (กัมพูชา) จำกัด ผู้จำหน่ายและให้บริการลิฟต์และบันไดเลื่อนภายในกรุงพนมเปญ เปิดเผยว่า “กัมพูชาแม้จะเป็นตลาดที่ไม่ใหญ่นัก เมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านอื่น ๆ ของไทย แต่ก็เป็นประเทศที่มีความสำคัญอย่างมาก GDP Growth 6-7% ต่อเนื่องตลอดระยะเวลา 5 ปี ที่ผ่านมา โดยเฉพาะ อุตสาหกรรม สิ่งก่อสร้าง ประกอบกับการนักลงทุนยักษ์ใหญ่จากประเทศจีนให้ความสนใจเข้ามาลงทุนกันอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้กัมพูชาเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ด้วยประชากรประมาณ 17 ล้านคน 75% เป็น “คนจน” ขณะที่มี “คนรวย” มีไม่ถึง 10% ส่วนที่เหลือคือ “คนชั้นกลาง” แต่คนชนชั้นสูงของที่นี่มีกำลังซื้อสูงมาก โดยเฉพาะเพราะกลุ่ม “ไฮโซขแมร์” มีตั้งแต่เศรษฐีเก่า เศรษฐีใหม่ นักการเมือง นักธุรกิจ เจ้าของกาสิโน ลูกหลานคนรวยผู้ไม่เคยผ่านสงครามกลางเมือง ซึ่งวันนี้ขยับมาเป็น “นักธุรกิจรุ่นใหม่” ขับเคลื่อนเศรษฐกิจของกัมพูชาในปัจจุบัน กลุ่มชนชั้นสูงนี้ จึงมีการลงทุนในธุรกิจต่าง ๆ รวมทั้ง อาคารสำนักงาน อาคารสูง คอนโดหรู ห้างสรรพสินค้า ด้วยความที่ฮิตาชิเป็นแบรนด์ญี่ปุ่น และมีโรงงานผลิตที่ประเทศไทย ทำให้เป็นที่ยอมรับในเรื่องของคุณภาพและความปลอดภัย โดยเฉพาะสินค้าเทคโนโลยีที่จำเป็นต้องใช้ในชีวิตประจำวัน ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักของเราและในวันนี้ เราก็ได้คนกลุ่มนี้มาเป็นลูกค้าหลัก
นายศักดิ์ชาย กล่าวต่อไปว่า ตลาดลิฟต์ในกัมพูชา เป็นตลาดเปิด ยังไม่มีกฏหมายหรือข้อกำหนด มาตรฐาน ควบคุมการซื้อ ขายติดตั้ง ลิฟต์ และบันไดเลื่อน ดังนั้น การนำเข้า จากประเทศต่าง ๆ สามารถนำเข้ามาขายได้อย่างเสรี ลูกค้ามีสิทธิ์เลือกซื้อได้จากผู้แทนจำหน่าย ที่มีจำนวนมากมายในประเทศ รวมถึงสามารถสั่งซื้อตรงได้จากต่างประเทศ โดยเฉพาะจากประเทศจีน และเวียตนาม ซึ่งมีราคาถูกมาก เนื่องจากกัมพูชาเพิ่งมีการติดตั้งลิฟต์ไม่เกิน 10 ปี การสร้างตึกสูง เพิ่งขยายตัวอย่างรวดเร็วใน ระยะ 5 ปีที่ผ่านมา คนที่นี่ยังไม่มีประสบการณ์ในการใช้ผลิตภัณฑ์ประเภทนี้มากนัก ผู้บริโภคส่วนใหญ่ของตลาดจึงเน้นที่ราคาถูก
“ฮิตาชิ เน้นความปลอดภัยและคุณภาพของสินค้า ดังนั้น การทำธุรกิจในกัมพูชาต้องมีความจริงใจกับผู้บริโภค ขายสินค้าที่มีคุณภาพ การสร้างความพึงพอใจของบริการหลังการขายและการใช้ช่องทางประชาสัมพันธ์ที่เหมาะสม ซึ่งผมเลือกใช้ การสร้างเครือข่ายกับกลุ่มผู้ประกอบการภาคก่อสร้าง นักลงทุน วิศวกร และสถาปนิกรุ่นใหม่เป็นหลัก ซึ่งสินค้า ฮิตาชิ แบรนด์ ญี่ปุ่น ที่ผลิตจากประเทศไทย เป็นจุดแข็งที่สร้างความมั่นใจให้แก่ลูกค้า ตลาดที่นี่แบ่งออกชัดเจน Brand Inter ไม่ว่าจะเป็น ยุโรป อเมริกา ญี่ปุ่น ถือว่าเป็นสินค้าคุณภาพ ราคาสูง เมื่อเทียบกับสินค้าจากจีน ที่มีราคาต่ำกว่า 20-50% ซึ่งตลาดนี้เราไม่ถือเป็นคู่แข็งขันโดยตรง เพราะราคาที่แตกต่าง ดังนั้น ฮิตาชิ จึงมุ่งเน้นที่คุณภาพ ทั้งตัวสินค้าและการบริการหลังการขาย เพื่อสร้างความมั่นใจและรักษาระดับราคาสำหรับลูกค้า กลุ่ม A และ B +”
สำหรับผลประกอบการและเป้าหมายของบริษัทเราเปิดเริ่มธุรกิจในกัมพูชามาตั้งแต่ปี 2017 ซึ่งทำยอดขายได้ 50 ตัว และขยายตัวขึ้นในปี 2018 เป็น 100 ตัว ซึ่งในปี 2019 นี้ เราตั้งเป้าหมายไว้ที่ 150 ตัวสำหรับยอดขาย ในส่วนของการบริการหลังการขายปัจจุบันเราดูแล้วลิฟต์กว่า 200 ตัว และในอนาคตอันใกล้นี้ ภายในปี 2021 เราตั้งเป้าหมายไว้ว่า เราจะต้องครองส่วนแบ่งการตลาดลิฟต์ในประเทศกัมพูชาให้ได้ 25% และจะขยายอย่างต่อเนื่องด้วยการบริการที่ดีของเรา
อีกส่วนสำคัญที่จะนำให้เราก้าวไปสู่เป้าหมายที่เราวางไว้ นั่นคือเรื่องของบุคลากร เนื่องจากเราเป็นงานด้านการบริการ นอกจากสินค้าดีแล้วบริการต้องเป็นที่ประทับใจ ด้วยความต่างของ Gen และวัฒนธรรมเราจึงเน้นความสัมพันธ์และการสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ให้ทุกคนมีส่วนร่วมในความสำเร็จ การระดมสมองแลกเปลี่ยนความคิดแบบตรงไปตรงมาและ Coaching เพื่อให้เกิดมุมมองที่แตกต่างมากกว่าบอกวิธีการโดยตรง การดูแลเอาใจใส่เหมือนครอบครัวเดียวกัน และมีการประเมินผลงานเพื่อตอบแทนศักยภาพของแต่ละคน
สิ่งสำคัญที่สุดผมย้ำเสมอว่า ต้องให้พวกเขาตระหนักว่า การส่งมอบสินค้า บริการที่ดีมีคุณภาพ การสร้างความพึงพอใจคือ สิ่งที่จะทำให้ลูกค้าซื้อกลับมาซ้ำและบอกต่อจะนำมาซึ่งผลประกอบการที่ดีขึ้น มีรายได้ที่มั่นคง มีความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน และเป็นแรงจูงในการมอบสิ่งดี ๆ ให้กับลูกค้า เป็นวัฏจักรของธุรกิจและทำให้พวกเขาเป็นส่วนสำคัญขององค์กร เป็นรากฐานที่มั่นคงและก้าวขึ้นมาเป็นผู้บริหารให้กับฮิตาชิกัมพูชาต่อไปในอนาคตอย่างยั่งยืน” นายศักดิ์ชาย กล่าวทิ้งท้าย