เสาร์. พ.ย. 23rd, 2024

มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย ฉลองความสำเร็จการส่งออกรถยนต์ครบ 4 ล้านคัน

ศูนย์การผลิตของ บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด ที่อำเภอแหลมฉบัง จังหวัดชลบุรี มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องและกลายเป็นศูนย์การผลิตนอกประเทศญี่ปุ่นที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส คอร์ปอเรชั่น โดยปัจจุบัน มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย มีพนักงานมากกว่า 7,000 คน และอีกกว่าหนึ่งหมื่นคนในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องเป็นบริษัทผู้ผลิตรถยนต์รายแรกที่ส่งออกรถยนต์ที่ผลิตขึ้นด้วยฝีมือคนไทย และก้าวขึ้นเป็นหนึ่งในผู้ผลิตและส่งออกรถยนต์รายใหญ่ที่สุดในปัจจุบัน

ศูนย์การผลิต มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย ประกอบด้วยโรงงานผลิตรถยนต์ 3 แห่ง และโรงงานผลิตเครื่องยนต์ 1 แห่ง ในอำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี ถือเป็นศูนย์กลางการผลิตที่สำคัญทั้งในระดับภูมิภาคและระดับโลกของ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส คอร์ปอเรชั่น โดยในปี 2561 ที่ผ่านมา มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย ได้ทำการผลิตรถยนต์ทุกรุ่นรวม 440,000 คัน (รวมรถยนต์ชิ้นส่วนประกอบหรือ KD) โดยในจำนวนดังกล่าวเป็นยอดรถยนต์ที่ส่งออกไปยังตลาดต่างประเทศจำนวน 347,000 คัน

และในวันนี้ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย ฉลองความสำเร็จอีกครั้งด้วยการส่งออกรถยนต์ครบ 4 ล้านคัน โดยรถคันที่ 4 ล้านคือ มิตซูบิชิ ไทรทัน ใหม่ ที่เตรียมส่งออกไปยังทวีปยุโรป

“ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ซึ่งมีประเทศไทยเป็นศูนย์กลางและเป็นหนึ่งในตลาดที่สำคัญอย่างยิ่งของ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส” มร. โอซามุ มาสุโกะ ประธานคณะกรรมการ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส คอร์ปอเรชั่น กล่าว “นอกเหนือจากการเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้แก่ภูมิภาคฯ ด้วยการดำเนินธุรกิจต่างๆ อาทิ การนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ตรงกับความต้องการของแต่ละประเทศ การจ้างงาน การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ การลงทุน รวมถึงการผลิตภายในประเทศและการส่งออกแล้ว เรายังดำเนินการส่งเสริมด้านสังคมมาอย่างต่อเนื่องผ่านกิจกรรมการตอบแทนสังคมในรูปแบบต่างๆ โดยเราจะยังคงมุ่งมั่นขยายการดำเนินกิจกรรมเพื่อสังคมต่าง ๆ นี้ ไปทั่วทั้งภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เพื่อช่วยบรรเทาปัญหาด้านสังคมต่าง ๆ ต่อไป”

มร. โมริคาซุ ชกกิ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวเพิ่มเติมว่า “เรายังคงมุ่งมั่นดำเนินงานตามกลยุทธ์ ‘Drive your Ambition’ เพื่อสร้างสรรค์นวัตกรรมพร้อมนำเสนอเทคโนโลยีใหม่ๆ และยกระดับอุตสาหกรรมยานยนต์ของประเทศไทย เพื่อมอบให้ลูกค้าของเราทั้งในประเทศไทย และอีกกว่า 120 ประเทศทั่วโลกได้สัมผัสกับประสบการณ์การขับขี่ที่ดีจากรถยนต์คุณภาพเยี่ยม ที่พร้อมด้วยความอเนกประสงค์ มั่นใจได้ในทุกการขับขี่ ครบครันด้วยประโยชน์การใช้งานและความสะดวกสบาย”

มิตซูบิชิ มอเตอร์ส เริ่มต้นการดำเนินงานในประเทศไทยในปี 2504 โดย มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ได้วางรากฐานให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตนอกประเทศญี่ปุ่นในปี 2531 ด้วยการส่งออกรถยนต์ มิตซูบิชิ แลนเซอร์ แชมป์ ไปยังประเทศแคนาดา ถือเป็นบริษัทผู้ผลิตรถยนต์รายแรกที่ส่งออกรถยนต์ที่ผลิตโดยฝีมือคนไทย

โดยโรงงานแหลมฉบัง 1 เปิดทำการในปี 2535 ถือเป็นโรงงานผลิตรถยนต์แห่งแรกของศูนย์การผลิตมิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย ต่อด้วยการเปิดโรงงานแหลมฉบัง 2 เพื่อรองรับการผลิตรถกระบะขนาดหนึ่งตันในปี 2539  ขณะที่โรงงานแหลมฉบัง 3 เปิดทำการในปี 2550 และในปีเดียวกัน มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย สามารถสร้างประวัติศาสตร์ด้วยการส่งออกรถยนต์ครบ 1 ล้านคัน

ทั้งนี้การส่งออกรถยนต์ครบ 2 ล้านคันเกิดขึ้นในปี 2556 และถือเป็นการครบรอบ 25 ปีของการส่งออกรถยนต์จาก มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย และด้วยศักยภาพของประเทศไทย มิตซูบิชิ มอเตอร์ส จึงได้ตัดสินใจลงทุนสร้างศูนย์วิจัยและพัฒนาขึ้นในประเทศไทย โดยศูนย์ฯ ดังกล่าวถือเป็นแห่งแรกที่เปิดดำเนินการและตั้งอยู่นอกประเทศญี่ปุ่น

นอกจากนี้การลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนายังได้ครอบคลุมถึงการเปิดสนามทดสอบรถยนต์ที่อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี ในปี 2558 ซึ่งเป็นสนามทดสอบอเนกประสงค์ขนาด 152,000 ตารางเมตร มีบทบาทสำคัญในการเสริมสร้างความแข็งแกร่งและเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันในด้านคุณภาพของรถยนต์ที่ผลิตขึ้นโดย มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย ทั้งตลาดในประเทศและการส่งออก พร้อมตอกย้ำถึงความเชื่อมั่นและความมุ่งมั่นที่มีต่อประเทศไทยในฐานะฐานการผลิตที่สำคัญซึ่งรวมถึงด้านวิศวกรรมอีกด้วย

ในปี 2558 มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย ได้ฉลองการส่งออกรถยนต์ครบ 3 ล้านคัน และก้าวขึ้นสู่การเป็นบริษัทผู้ส่งออกรถยนต์รายใหญ่ที่สุดของประเทศไทย และในปีงบประมาณ 2561ที่ผ่านมา มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย ได้ส่งออกรถยนต์เป็นจำนวนมากกว่า 298,000 คัน และถือเป็นผู้ส่งออกรถยนต์รายใหญ่ที่สุดของประเทศไทยในปัจจุบัน

มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย ขับเคลื่อนสู่การเติบโตและมีความก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง และสามารถสร้างยอดการส่งออกได้ครบ 4 ล้านคัน โดยมีสัดส่วนการส่งออกรถยนต์ที่สำคัญดังนี้ รถกระบะในสัดส่วนร้อยละ 70 รถซิตี้คาร์ร้อยละ 22 รถอเนกประสงค์ร้อยละ 5 และรถยนต์ประเภทอื่น ๆ ร้อยละ 3

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องที่ต้องการถูกทำเครื่องหมาย *