บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป เสริมทัพยนตรกรรมรุ่นใหม่ทั้ง 3 แบรนด์ พร้อมข้อเสนอสุดพิเศษ
บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย เดินหน้าสานต่อความมุ่งมั่นในการมอบอิสระแห่งทางเลือก เสริมทัพยนตรกรรมอันหลากหลายและน่าตื่นตาตื่นใจด้วยรถยนต์ใหม่ 3 รุ่น นำโดย บีเอ็มดับเบิลยู X6 xDrive30d M Sport ใหม่ ที่ผสมผสานที่สุดแห่งจิตวิญญาณการผจญภัยตามสไตล์รถยนต์ Sports Activity Vehicle เข้าไว้กับรูปลักษณ์สะดุดตาของรถยนต์คูเป้ หลอมรวมเป็นสุดยอดรถยนต์ SAC ที่ปราดเปรียวและทรงพลัง บีเอ็มดับเบิลยู M8 Competition Coupe ใหม่ รวมไว้ซึ่งความดุดันอันคล่องตัวและความหรูหราไว้อย่างไร้ที่ติ และบีเอ็มดับเบิลยู 630i GT M Sport รถยนต์แกรนด์ทัวเรอร์โฉมใหม่ที่ผสานสุดยอดความเพลิดเพลินในการขับขี่ ความสะดวกสบายในการเดินทางระยะไกล และการใช้งานไว้ได้อย่างกลมกล่อมลงตัว
ด้านมินิและบีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด ยังคงเสริมแกร่งด้วยทัพยนตรกรรมอันหลากหลายเช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็น มินิ คูเปอร์ เอส คันทรีแมน ไฮทริม ที่มาพร้อมกับระบบเกียร์ส่งกำลังใหม่ มินิ คูเปอร์ เอสอี ใหม่ ขับเคลื่อนไฟฟ้าล้วน และข้อเสนอพิเศษมากมายจากบีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด สำหรับมอเตอร์ไซค์ตระกูล G, C, F และ R ที่คอมอเตอร์ไซค์ไม่ควรพลาด
นอกจากนี้ บีเอ็มดับเบิลยู และมินิ ยังได้ขยายช่องทางการจองออนไลน์ให้ครอบคลุมรุ่นที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น เพื่อมอบประสบการณ์การจองรถยนต์ที่สะดวกสบาย ราบรื่นให้แก่ลูกค้า พร้อมข้อเสนอที่น่าดึงดูดใจได้ง่าย ๆ เพียงแค่ไม่กี่คลิก ก่อนจะรอรับการติดต่อกลับจากผู้จำหน่ายรถยนต์อย่างเป็นทางการ โดยสำหรับบีเอ็มดับเบิลยู ลูกค้าจะสามารถจองออนไลน์ผ่านทาง shop.bmw.co.th ซึ่งครอบคลุมรถยนต์รุ่นต่าง ๆ ดังนี้ บีเอ็มดับเบิลยูซีรี่ส์ 2, บีเอ็มดับเบิลยูซีรี่ส์ 3 (320d และ 330e M sport), บีเอ็มดับเบิลยูซีรี่ส์ 5, บีเอ็มดับเบิลยูซีรี่ส์ 6 GT (630i GT M Sport), บีเอ็มดับเบิลยูซีรี่ส์ 7, บีเอ็มดับเบิลยู M5, บีเอ็มดับเบิลยู M8, บีเอ็มดับเบิลยู i3s, บีเอ็มดับเบิลยู X1, บีเอ็มดับเบิลยู X3, บีเอ็มดับเบิลยู X5 และบีเอ็มดับเบิลยู X6 ใหม่ สำหรับมินิ ลูกค้าที่จองมินิ คูเปอร์ เอส คันทรีแมน ไฮทริม ผ่านช่องทางออนไลน์ www.mini.co.th จะได้รับข้อเสนอสุดพิเศษอีกมากมาย
บีเอ็มดับเบิลยู X6 xDrive30d M Sport ใหม่
ราคาจำหน่าย: 7,299,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม และโปรแกรมบำรุงรักษา BSI Standard)
ภายนอกตัวรถบีเอ็มดับเบิลยู X6 xDrive30d M Sport ใหม่ กว้างขวางขึ้นกว่าเคย ด้วยความยาวตัวรถที่ 4,935 มิลลิเมตร ยาวขึ้นจากเคย 26 มิลลิเมตร พร้อมความกว้างที่ 2,004 มิลลิเมตร กว้างขึ้น 15 มิลลิเมตร และความสูงที่ 1,696 มิลลิเมตร เตี้ยลง 6 มิลลิเมตร จากรถรุ่นก่อนหน้า ผสมผสานสัดส่วนที่ขยายออกอย่างปราดเปรียว เติมเต็มภาพลักษณ์กำยำทรงพลังยิ่งขึ้น ด้านระยะฐานล้อยาวขึ้นที่ 2,975 มิลลิเมตร มากกว่าเดิมถึง 42 มิลลิเมตร
กระจังหน้ารูปไตขนาดใหญ่แบบกรอบเดี่ยวทำมุมรับกับไฟหน้าอย่างชัดเจนกว่าเดิม ทั้งยังมาพร้อมกับไฟแบบส่องสว่าง “Iconic Glow” ที่ติดตั้งมาเป็นอุปกรณ์มาตรฐานเป็นครั้งแรก พร้อมเสริมรูปลักษณ์ภายนอกให้หรูหราดูเอ็กซ์คลูซีฟยิ่งขึ้น โดยแผงกระจังหน้าจะส่องแสงเมื่อเปิดหรือปิดประตูรถยนต์ แต่ผู้ขับสามารถสั่งเปิดหรือปิดแสงกระจังหน้าได้ด้วยตัวเองเช่นกัน รวมทั้งยังเปิดใช้ในขณะขณะขับขี่ได้อีกด้วย
บีเอ็มดับเบิลยู X6 xDrive30d M Sport ใหม่ ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ดีเซล 6 สูบ ให้กำลังสูงสุดถึง 195 กิโลวัตต์/265 แรงม้า ที่ 4,000 รอบต่อนาที จึงมอบแรงบิดสูงสุด 620 นิวตันเมตร ที่ 2,000-2,500 รอบต่อนาที ทำงานร่วมกับเกียร์อัตโนมัติ Sport Steptronic 8 จังหวะ บีเอ็มดับเบิลยู X6 สามารถเร่งความเร็วจาก 0 ถึง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ภายในเวลาเพียง 6.5 วินาที และทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 230 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ด้านระบบขับเคลื่อน 4 ล้อแบบ xDrive เจเนอเรชั่นล่าสุด ส่งแรงบิดแบ่งล้อหน้าและหลังได้หลากหลายรูปแบบตามความต้องการในแต่ละสถานการณ์ด้วยความแม่นยำและความเร็วที่มากยิ่งขึ้น
การตอบสนองแบบสปอร์ตของบีเอ็มดับเบิลยู X6 ใหม่ ถูกเสริมด้วยเพลาหน้าแบบปีกนกคู่และเพลาหลังแบบ five-link ส่งให้ช่วงล่างทรงประสิทธิภาพอย่างสมบูรณ์แบบ เติมเติมสุดยอดความปราดเปรียวและการขับขี่ที่สะดวกสบายบนท้องถนน ทั้งยังช่วยยึดเกาะถนนได้อย่างมั่นคงแม้ในเส้นทางที่ไม่คุ้นเคย ส่วนช่วงล่าง Dynamic Damper Control มาเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน
ด้านข้างตัวรถคงไว้ซึ่งสัดส่วนที่คุ้นเคยกันดีของบีเอ็มดับเบิลยูด้วยเส้นสายลากผ่านซึ่งระบุถึงตัวตนได้อย่างชัดเจนและหลังคาที่ทำองศาโค้งอย่างปราดเปรียว ล้ออัลลอย M ลาย Double Spoke น้ำหนักเบา ขนาด 22 นิ้ว มาพร้อมกับซุ้มล้อทรงแปดเหลี่ยมมน ส่วนช่องระบายอากาศสีเดียวกับตัวถังผสมผสานเข้ากับซุ้มล้อที่โดดเด่น เน้นย้ำรูปลักษณ์ภายนอกให้ปราดเปรียวยิ่งขึ้น ส่วนท้ายรถของบีเอ็มดับเบิลยู X6 ใหม่ มอบเค้าโครงอันแข็งแกร่งด้วยเส้นสายตัวถังที่ทรงพลัง
เสริมความกำยำบึกบึนด้วยไฟท้าย LED ขนาดกว้างรูปตัว L ส่วนประตูท้ายรถผสานอย่างไร้รอยต่อเป็นหนึ่งเดียวกับเส้นแนวขวางของตัวถังจนแทบมองไม่เห็น
ภายในห้องผู้โดยสารของบีเอ็มดับเบิลยู X6 ใหม่ มอบประสบการณ์การขับขี่ที่เอ็กซ์คลูซีฟและปราดเปรียวยิ่งขึ้น ดีไซน์บริเวณที่นั่งคนขับมาพร้อมกับการจัดวางแผงควบคุมแบบใหม่ที่ตอบรับกับปรัชญาอันโดดเด่นของบีเอ็มดับเบิลยูซึ่งคำนึงถึงผู้ขับขี่เป็นสำคัญ นอกจากนี้การออกแบบเบาะที่นั่งให้สูงขึ้นยังช่วยให้ผู้ขับสามารถตรวจสอบทุกการขับขี่ได้อย่างครอบคลุมที่สุดอีกด้วย
ด้านแพ็คเกจชุดแต่ง M Sport เสริมมาดความปราดเปรียวของบีเอ็มดับเบิลยู X6 ใหม่ ด้วยพวงมาลัย M Sport คันเร่ง M-specific ภายในตกแต่งด้วยวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ เพดานหลังคาภายในสี Anthracite
นอกจากนี้ยังมอบการใช้งานที่หลากหลายด้วยพนักพิงเบาะหลังแบ่งพับแบบ 40:20:40 ซึ่งสามารถพับเก็บเพื่อเพิ่มความจุของพื้นที่จากเดิม 580 ลิตร เป็น 1,530 ลิตร สำหรับอุปกรณ์เสริมไฮไลท์อื่นๆ ได้แก่ ฟังก์ชั่นสั่งงานระบบ iDrive ด้วยการเคลื่อนไหวมือ BMW Gesture Control ที่วางแก้วน้ำปรับอุณภูมิพร้อมการชาร์จแบบไร้สาย หลังคากระจกแบบ Panorama และระบบเครื่องเสียงรอบทิศทาง Harman Kardon
นอกจากฟังก์ชันที่เพิ่มเติมมามากมาย ระบบภายในรถยนต์ยังทำงานอย่างทรงประสิทธิภาพในการเสริมความสะดวกสบายและความปลอดภัย อุปกรณ์มาตรฐานของบีเอ็มดับเบิลยู X6 ใหม่ มาพร้อมระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติพร้อมฟังก์ชัน Stop & Go ด้านระบบช่วยเหลือการขับขี่ Driving Assistant Professional มากับระบบพวงมาลัยอัตโนมัติและระบบบังคับรถให้วิ่งอยู่ในช่องทางจราจร พร้อมเสริมความสะดวกสบายและความปลอดภัยอันเหนือชั้น ระบบผู้ช่วยส่วนตัวในรถยนต์ BMW Intelligent Personal Assistant พร้อมมอบทุกความช่วยเหลือให้กับผู้ขับขี่ ส่วนระบบ BMW Live Cockpit Professional ในรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยู X6 ใหม่ ผสมผสานหน้าจอแสดงผลรุ่นใหม่และแนวคิดการใช้งานเข้ากับระบบการเชื่อมต่อที่ครบครันกว่าใคร บนแผงหน้าปัดและจอแสดงผลความละเอียดสูงขนาด 12.3 นิ้ว
บีเอ็มดับเบิลยู M8 Competition Coupe ใหม่
ราคาจำหน่าย: 17,999,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม และโปรแกรมบำรุงรักษา BSI Standard)
บีเอ็มดับเบิลยู M8 Competition Coupe ใหม่ พร้อมมอบประสบการณ์ใหม่ไม่ซ้ำใครในสไตล์โฉบเฉี่ยวอันเป็นเอกลักษณ์ของรถยนต์ในตระกูล M ที่โลดแล่นด้วยความเฉียบคมอย่างเหนือชั้น ที่สุดแห่งความปราดเปรียวในทุกสภาวะการขับขี่
บีเอ็มดับเบิลยู M8 Competition Coupe ใหม่ มาพร้อมเครื่องยนต์ที่ทรงพลังที่สุดในตระกูล M ส่งพละกำลังด้วยเครื่องยนต์เบนซิน 8 สูบ เสริมความแรงด้วยเทคโนโลยี M TwinPower Turbo มอบกำลังสูงสุด 460 กิโลวัตต์/625 แรงม้า ที่ 6,000 รอบต่อนาที และแรงบิดสูงสุด 750 นิวตันเมตรที่ 1,800-5,860 รอบต่อนาที โลดแล่นจาก 0 ถึง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ภายใน 3.2 วินาที เครื่องยนต์นี้ทำงานคู่กับเกียร์อัตโนมัติ M Steptronic 8 จังหวะพร้อมเทคโนโลยี Drivelogic กระจายกำลังลงสู่สี่ล้อด้วยระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ เทคโนโลยี M xDrive พร้อมระบบระบายความร้อนเพื่อควบคุมอุณภูมิในห้องเครื่องให้เหมาะสมตลอดเวลา ทั้งขณะขับขี่ในชีวิตประจำวันและขณะโลดแล่นด้วยความเร็วสูงบนสนามแข่ง
ปุ่ม Drivelogic ในดีไซน์ใหม่ให้ผู้ขับขี่สามารถเลือกโหมดเกียร์ได้ 3 โหมดตามสไตล์ที่ชื่นชอบ เพื่อเสริมประสิทธิภาพ ความสปอร์ตและปราดเปรียวยิ่งขึ้นในการขับขี่ เสริมความสปอร์ตด้วยแป้นเปลี่ยนเกียร์แบบ M พร้อมระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ M xDrive ที่เน้นการถ่ายเทกำลังลงสู่ล้อหลัง ทำงานเข้าจังหวะกับระบบเฟืองท้าย Active M เพื่อผสานการกระจายกำลังจากเครื่องยนต์ลงสู่ท้องถนนอย่างสม่ำเสมอ นอกจากนี้ยังมาพร้อมช่วงล่าง Adaptive M ควบคุมระบบโช้กอัพด้วยไฟฟ้าและพวงมาลัยไฟฟ้าแบบ M ปรับน้ำหนักตามความเร็วรถขณะขับขี่ การทำงานร่วมกันระหว่างระบบควบคุมเสถียรภาพการขับขี่ (DSC) ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ M xDrive และระบบเฟืองท้าย Active M ยังสร้างโหมดการขับขี่แบบ M Dynamic ที่มอบความเป็นอิสระแก่ล้อให้สามารถดริฟท์เข้าโค้งได้อย่างถึงใจยิ่งขึ้น
ดีไซน์ของบีเอ็มดับเบิลยู M8 Competition Coupe ใหม่มอบความหรูหราเหนือระดับที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะรุ่น ได้รับการออกแบบมาเพื่อสอดรับกับรถสปอร์ตสมรรถนะสูง ตั้งแต่กระจังหน้าทรงไตคู่ที่มาพร้อมแท่งโครเมียมสีดำเงาแบบคู่ เช่นเดียวกับรถในตระกูล M รุ่นอื่น ๆ แต่ประดับความพิเศษด้วยโลโก้ M8 พร้อมช่องดักอากาศขนาดใหญ่ 3 ช่อง ที่นอกจากจะเสริมลุคสปอร์ตสะดุดตาแล้ว ยังช่วยระบายการถ่ายเทอากาศในเครื่องยนต์ ระบบเกียร์ และระบบเบรก
ไฟหน้าทรงเรียวยาวมอบความรู้สึกดุดันตามแบบฉบับบีเอ็มดับเบิลยูที่สืบทอดมารุ่นต่อรุ่น และยังมาพร้อมระบบไฟหน้า BMW Laserlight ล้ออัลลอยน้ำหนักเบาแบบ M ขนาด 20 นิ้ว ลาย Star Spoke รูปลักษณ์ที่สื่อถึงความโฉบเฉี่ยวและความเอ็กซ์คลูซีฟของสมาชิกใหม่ล่าสุดในตระกูล M นี้ยังมาพร้อมซุ้มล้อหน้าขนาดใหญ่ ช่องระบายอากาศด้านข้างแบบ M กระจกรถได้รับการเสริมประสิทธิภาพด้านแอโรไดนามิกส์
สปอยเลอร์หลัง กระโปรงท้ายและชิ้นส่วนกันชนด้านล่างโดดเด่นยิ่งขึ้นในสีตัดกัน หลังคาคาร์บอนไฟเบอร์ (CFRP) แบบ double-bubble สะท้อนถึงสไตล์รถแข่งสุดคลาสสิก
ภายในห้องโดยสารผสานดีไซน์เฉพาะตัวแบบ M เข้ากับความหรูหราทันสมัยไว้ได้อย่างลงตัว ตกแต่งด้วยวัสดุหนังแท้และคาร์บอนไฟเบอร์ มาพร้อมกุญแจ BMW Display Key หน้าจอ BMW Head-Up Display ที่แสดงข้อมูลเฉพาะสำหรับตระกูล M เทคโนโลยีช่วยเหลือการขับขี่ Driving Assistant Professional ระบบช่วยนำเข้าที่จอดอัตโนมัติ รุ่น Plus ระบบ BMW Live Cockpit Professional ที่มาพร้อมระบบนำทางและระบบผู้ช่วยส่วนตัว BMW Intelligent Personal Assistant ทันสมัยด้วยหน้าจอแสดงผลการขับขี่แบบดิจิทัลขนาด 12.3 นิ้วด้านหลังพวงมาลัย และหน้าจอ Control display ขนาด 10.25 นิ้ว
นอกจากนี้ยังมาพร้อมการออกแบบปุ่ม Setup บริเวณคอนโซลกลางแบบใหม่ ที่ให้ผู้ขับขี่เข้าถึงการตั้งค่าเครื่องยนต์ ช่วงล่าง พวงมาลัย ระบบขับเคลื่อน M xDrive และระบบเบรกได้อย่างง่ายดาย เพื่อปรับให้เข้ากับสภาพท้องถนนและสไตล์การขับขี่ที่เฉพาะตัวของแต่ละบุคคล และยังเพิ่มปุ่ม M Mode เพื่อปรับระบบช่วยเหลือการขับขี่ต่าง ๆ และการแสดงผลบริเวณแผงหน้าปัดและจอ Head-Up Display รวมถึงเลือกตั้งค่าการขับขี่แบบ ROAD, SPORT และ TRACK
บีเอ็มดับเบิลยู BMW 630i GT M Sport (โปรไฟล์ใหม่)
ราคาจำหน่าย: 4,399,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม และโปรแกรมบำรุงรักษา BSI Standard)
บีเอ็มดับเบิลยู BMW 630i GT M Sport ยกระดับความสะดวกสบายในการขับขี่ พร้อมห้องโดยสารที่โอ่อ่ากว้างขวางเพื่อความผ่อนคลายในการเดินทาง มาในเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ ทำงานคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะแบบ Sport Steptronic ส่งพละกำลังสูงสุด 190 กิโลวัตต์ / 258 แรงม้า ที่ 5,000 – 6,500 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 400 นิวตันเมตรที่ 1,550 – 4,400 รอบต่อนาที จึงเร่งความเร็วจากหยุดนิ่งสู่ 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ภายใน 6.3 วินาที และทำความเร็วสูงสุดได้ 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ทั้งยังมีช่วงล่างแบบถุงลมปรับระดับอัตโนมัติติดตั้งมาเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน
ดีไซน์ภายนอกสื่อถึงเอกลักษณ์ที่สะดุดตาและทรงพลัง สัดส่วนที่ลงตัวและสง่างามตามเส้นสายบนตัวรถ มาพร้อมไฟหน้า Adaptive LED ปรับตามทิศทางหมุุนของพวงมาลัย และกระจังหน้าทรงไตคู่ขนาดใหญ่อันเป็นเอกลักษณ์ของบีเอ็มดับเบิลยู หลังคาลาดต่ำในสไตล์คูเป้บรรจบกับส่วนท้ายของรถ ไฟท้ายในดีไซน์สามมิติโดดเด่นสะกดสายตา เสริมความสปอร์ตด้วยชุดแอโรไดนามิกส์แบบ M
ในห้องโดยสารของบีเอ็มดับเบิลยู BMW 630i GT M Sport ออกแบบมาโดยคำนึงถึงผู้ขับขี่เป็นสำคัญ พื้นที่โดยสารโอ่อ่ากว้างขวาง เบาะที่นั่งคนขับยกสูงเพื่อวิสัยทัศน์ที่กว้างรอบด้านยิ่งขึ้นของผู้ขับขี่ การจัดวางปุ่มควบคุมต่าง ๆ อยู่บนพื้นฐานของหลักการยศาสตร์ เพื่อมอบความพึงพอใจยิ่งขึ้นระหว่างขับขี่ เส้นสายการออกแบบและวัสดุแสดงถึงความประณีตและความเหนือระดับ เบาะที่นั่งด้านหลังกว้างขวางสะดวกสบาย มาพร้อมกระโปรงท้ายที่เปิดปิดอัตโนมัติด้วยระบบไฟฟ้า พนักพิงเบาะหลังแบ่งพับแบบ 40:20:40 ยังสามารถพับให้ราบได้ด้วยปุ่มในกระโปรงท้าย ฝาปิดช่องเก็บสัมภาระแบบสองชิ้นในโครงสร้างแข็งแกร่งทนทาน และสามารถพับเก็บไว้ใต้พื้นกระโปรงท้ายได้
บีเอ็มดับเบิลยู BMW 630i GT M Sport มาพร้อมระบบควบคุมและแสดงผลชั้นเยี่ยม นำเสนอที่สุดแห่งความครบถ้วนในการควบคุมรถยนต์ การนำทาง รวมถึงฟังก์ชั่นการสื่อสารและระบบความบันเทิงที่ครบเครื่องอย่างไม่มีใครเทียบ แผงคอนโซลหน้ามาพร้อมกับหน้าปัดดิจิทัลขนาด 12.3 นิ้ว และหน้าจอระบบสัมผัส Control Display ความละเอียดสูงขนาด 10.25 นิ้ว มอบความสะดวกสบายด้วย BMW ConnectedDrive มาพร้อมระบบการสั่งงานด้วยเสียง (Intelligent Voice Control Assistance) กล้องรอบทิศทาง (Surround View Camera) และระบบการสั่งงานด้วยการเคลื่อนไหวของมือ (BMW gesture control) ทั้งยังเสริมความล้ำสมัยด้วยระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ ไม่ว่าจะเป็นระบบแจ้งเตือนและป้องกันการชนที่ครอบคลุมทั้งยานพาหนะและคนเดินถนน ระบบสนับสนุนการควบคุมพวกมาลัยและการเปลี่ยนเลน พร้อมฟังก์ชั่นป้องกันการชนด้านข้าง ระบบแจ้งเตือนรถตัดหน้า ระบบ Evasion Aid ที่ลดโอกาสการเกิดอุบัติเหตุในกรณีที่รถคันหน้าเบรกกะทันหัน ระบบควบคุุมความเร็วคงที่พร้อมฟังก์ชั่น Stop & Go รวมไปถึงการจอดรถยนต์โดยควบคุมด้วยกุญแจ (Remote Controlled Parking) และจอแสดงข้อมูลการขับขี่ BMW Head-Up Display
มินิ คูเปอร์ เอส คันทรีแมน ไฮทริม (ระบบเกียร์ส่งกำลังใหม่)
ราคาจำหน่าย: 2,499,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม และโปรแกรมบำรุงรักษา MSI Standard)
มินิ คูเปอร์ เอส คันทรีแมน ไฮทริม ใหม่ มาในรูปลักษณ์ปราดเปรียวและคลาสสิกในสไตล์คันทรีแมน ภายนอกและภายในห้องโดยสารตกแต่งด้วย Chrome Line ตัดขอบด้วยเส้นสายโครเมียมสีเงิน เพิ่มความหรูหรา ภายในรถมาพร้อมกล้องมองหลังและระบบ Parking Assistant ช่วยให้จอดรถได้ง่ายดาย และกระจกมองหลังตัดแสงอัตโนมัติ เพิ่มความปลอดภัยในการขับขี่
มินิ คูเปอร์ เอส คันทรีแมน ไฮทริม ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ ขนาด 2.0 ลิตร มอบกำลังสูงสุดถึง 141 กิโลวัตต์/192 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุด 280 นิวตันเมตร ที่ 1,350-4,600 รอบต่อนาที เช่นเดียวกับในรุ่นมินิ คูเปอร์ เอส คันทรีแมน และทำงานร่วมกับเกียร์อัตโนมัติแบบคลัทช์คู่ Steptronic 7 จังหวะแบบสปอร์ตพร้อม Paddle Shift
พวงมาลัยหนังแท้สไตล์ MINI Yours แบบสปอร์ตพร้อมระบบมัลติฟังก์ชั่น และล้ออัลลอยสีดำลาย Pin Spoke ขนาด 18 นิ้ว ขับขี่ได้สนุกทันใจแบบมีสไตล์
ห้องโดยสารตกแต่งในสไตล์ MINI Yours Piano Black Illuminated สีดำมันวาว มาพร้อมไฟสีที่แต่งแต้มห้องโดยสารเพื่อเสริมสร้างบรรยากาศยามค่ำคืน พร้อมด้วยเครื่องเสียงชั้นเลิศจาก Harman Kardon ที่พร้อมมอบความเพลิดเพลินให้กับทั้งผู้ขับขี่และผู้โดยสาร เพื่อการเดินทางที่สุนทรีย์ยิ่งขึ้น
ด้วยระบบแสดงผล MINI Head-Up Display ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากเทคโนโลยีในห้องโดยสารเครื่องบินเจ็ท ผู้ขับขี่มินิ คูเปอร์ เอส คันทรีแมน ไฮทริม จะสามารถมองเห็นข้อมูลการขับขี่ เช่น ความเร็วของรถยนต์ โดยที่ไม่ได้บดบังทัศนวิสัยบนท้องถนน ส่วนหน้าจอระบบสัมผัสดีไซน์ใหม่ขนาด 8.8 นิ้ว
จะอยู่บริเวณกลางแผงคอนโซล พร้อมระบบ MINI Connected ที่เป็นเสมือนผู้ช่วยส่วนตัวในยามเดินทาง แสดงพิกัดของรถ และข้อมูลต่าง ๆ ผ่านการเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟน เพื่อความสะดวกสบายในทุกการเดินทาง
มินิ คูเปอร์ เอสอี ใหม่
ราคาจำหน่าย: 2,290,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม โปรแกรมบำรุงรักษา MSI Standard)
มินิ คูเปอร์ เอสอี ใหม่ สืบทอดตำนานความคลาสสิกตามแบบฉบับมินิ 3 ประตู แต่แทนที่เครื่องยนต์เบนซินหรือดีเซลด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า จึงทำให้มินิ คูเปอร์ เอสอี ไร้การปล่อยมลพิษได้อย่างแท้จริง โดยระบบส่งกำลังและวงจรอิเล็กทรอนิกส์ที่ควบคุมการจ่ายพลังงานไฟฟ้าไปยังระบบต่าง ๆ จะติดตั้งอยู่บริเวณด้านหน้าของรถในโครงสร้างรูปทรงท่อ ส่วนแบตเตอรี่แรงดันสูงที่ได้รับการพัฒนาขึ้นมาสำหรับมินิ คูเปอร์ เอสอีโดยเฉพาะ ประกอบไปด้วยเซลล์แบตเตอรี่ลิเธียมไอออนจำนวน 12 โมดูล ติดตั้งในรูปทรงตัว T บริเวณใต้รถ จุพลังงานไฟฟ้ารวม 32.6 กิโลวัตต์ชั่วโมง ตำแหน่งที่ตั้งของแบตเตอรี่แรงดันสูงบริเวณใต้ท้องรถ ระหว่างเบาะนั่งด้านหน้าไปจนถึงบริเวณใต้เบาะหลัง ทำให้มินิ คูเปอร์ เอสอี มีพื้นที่ในการเก็บสัมภาระมากกว่ารุ่นอื่น ๆ และเพื่อเป็นการสร้างระยะห่างจากแบตเตอรี่ใต้ท้องรถและพื้นถนน มินิ คูเปอร์ เอสอีจึงได้รับการออกแบบให้สูงกว่ามินิรุ่นอื่น ๆ 18 มิลลิเมตร
ขุมพลังไฟฟ้าใน มินิ คูเปอร์ เอสอี เป็นมอเตอร์ไฟฟ้าประสิทธิภาพสูงรุ่นใหม่ล่าสุดที่บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ปได้พัฒนาขึ้น สามารถส่งพละกำลังสูงสุด 135 กิโลวัตต์ / 184 แรงม้า และด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าจึงสามารถส่งแรงบิดสูงสุด 270 นิวตันเมตรได้ทันทีที่เท้าแตะคันเร่งแม้จากรถหยุดนิ่ง ส่งความเร็วจาก 0 ถึง 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ภายใน 3.9 วินาที มอบความแรงเร้าใจใน 60 เมตรแรกได้เทียบชั้นรถสปอร์ต และสามารถเร่งความเร็วจากหยุดนิ่งถึง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ภายใน 7.3 วินาที มินิ คูเปอร์ เอสอี ทำความเร็วสูงสุดได้ 150 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนในการวิ่งได้ระยะทางสูงสุดราว 217 กิโลเมตร (ตามมาตรฐาน NEDC) ติดตั้งระบบการจำลองเสียงเพื่อเตือนคนเดินถนน ซึ่งเป็นเสียงเฉพาะสำหรับรุ่นมินิ คูเปอร์ เอสอี เท่านั้น โดยจำลองเสียงผ่านทางระบบลำโพงสำหรับขณะขับขี่ที่ความเร็วต่ำ โดยทุกชิ้นส่วนของระบบการขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า จะได้รับการปกป้องด้วยโครงสร้างที่ออกแบบมาเป็นพิเศษ และจะหยุดการทำงานทั้งหมดทันทีหากได้เกิดการชน
มินิ คูเปอร์ เอสอี ยังมาพร้อมระบบควบคุมเสถียรภาพการขับขี่ (DSC) ที่เสริมความสนุกสนานขณะโลดแล่นบนท้องถนนได้อย่างเร้าใจยิ่งขึ้น โดยไม่สูญเสียประสิทธิภาพในการยึดเกาะถนน และรองรับการตั้งค่าต่าง ๆ ตามสภาวะการขับขี่และรูปแบบการขับขี่ที่เฉพาะตัวของแต่ละบุคคล โดยมาพร้อมโหมดการขับขี่
4 รูปแบบ ได้แก่ Sport, MID, GREEN, และ GREEN+ อีกหนึ่งเอกลักษณ์อันโดดเด่นของเทคโนโลยีการขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าของบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป คือการนำพลังงานจากการเบรกกลับมาใช้ใหม่ (regenerative brake) ที่ทำให้รถชะลอความเร็วทันทีที่ผู้ขับยกเท้าออกจากคันเร่ง จึงสามารถลดความเร็วรถได้ขณะขับขี่ที่ความเร็วต่ำโดยไม่ต้องแตะเบรก ทำให้ ผู้ขับขี่สามารถควบคุมความเร็วได้โดยใช้เพียงคันเร่งเท่านั้น
แบตเตอรี่แรงดันสูงสามารถรองรับสายชาร์จทั้งแบบมาตรฐานและสายชาร์จจาก MINI ELECTRIC Wallbox ที่รองรับกำลังไฟได้สูงสุด 11 กิโลวัตต์ ชาร์จถึง 80 เปอร์เซ็นต์ภายใน 2.5 ชั่วโมง และชาร์จเต็ม 100 เปอร์เซ็นต์ภายใน 3.5 ชั่วโมง และหากชาร์จจากสถานีที่เป็นหัวชาร์จแบบ DC fast-charging จะช่วยให้สำรองพลังงานได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ซึ่งมินิ คูเปอร์ เอสอี ได้รับการออกแบบมาให้รองรับพลังงานในการชาร์จได้สูงสุด 50 กิโลวัตต์ ชาร์จได้ถึง 80 เปอร์เซ็นต์ภายในเพียง 36 นาที โดยสามารถรองรับหัวชาร์จทั้ง AC และ DC แบบ Type 2 และหัวชาร์จ CCS Combo 2 ซึ่งจะมีไฟบอกสถานะการชาร์จปรากฎอยู่เหนือเต้าเสียบใน 3 สถานะด้วยกัน ได้แก่ ไฟสีส้มขณะเริ่มชาร์จ ไฟกระพริบสีเหลืองระหว่างการชาร์จ และไฟสีเขียวเมื่อชาร์จเต็ม
ภายในห้องโดยสารมาพร้อมเบาะผ้าสีดำ Carbon Black ลาย Double Stripe หัวเกียร์ในดีไซน์เฉพาะสำหรับรุ่นมินิ คูเปอร์ เอสอี ระบบปรับอากาศอัตโนมัติแบบ 2 โซน แยกการระบายอากาศและการควบคุมอุณหภูมิระหว่างผู้ขับและผู้โดยสาร แผงหน้าปัดมาในดีไซน์เฉพาะรุ่นเช่นเดียวกัน
โดดเด่นด้วยจอแสดงผลสีดิจิทัลขนาด 5.5 นิ้ว ในดีไซน์ Black Panel ด้านหลังพวงมาลัย โดยอัตราความเร็วในการขับขี่จะแสดงผลทั้งในแบบตัวเลขและแถบทรงกลมอยู่บริเวณกลางจอ ส่วนด้านข้างเป็นการแสดงข้อมูลในรูปแบบดิจิทัลเกี่ยวกับระดับพลังงานของแบตเตอรี่แรงดันสูง โหมดการขับขี่ สถานะของระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ และสัญญาณแสดงสถานะการทำงานของระบบต่าง ๆ รวมทั้งเวลาที่ใช้ในการชาร์จแบตเตอรี่ สำหรับจอระบบสัมผัสขนาด 6.5 นิ้วบริเวณแผงคอนโซล รองรับการแสดงผลจากบริการ MINI Connected ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับการขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าโดยเฉพาะ เช่น จอ eDrive ที่แสดงข้อมูลเกี่ยวกับการใช้พลังงานและระยะทางที่วิ่งได้ รวมถึงทางเลือกต่าง ๆ ในการเพิ่มระยะทางในการขับขี่
ดีไซน์ภายนอกมาพร้อมเส้นสายการออกแบบที่โดดเด่นและชัดเจน สะท้อนถึงเทคโนโลยีการขับขี่แห่งอนาคตที่ล้ำสมัย ส่วนฝาครอบที่ชาร์จไฟฟ้าอยู่เหนือล้อหลังด้านขวา ซึ่งเป็นตำแหน่งเดียวกับฝาถังน้ำมันของมินิ 3 ประตู บนฝาแสดงสัญลักษณ์ MINI Electric เพื่อสร้างความแตกต่างระหว่างการใช้เชื้อเพลิงน้ำมันและการใช้พลังงานไฟฟ้า สัญลักษณ์นี้ยังปรากฎบริเวณกรอบไฟเลี้ยวด้านข้าง ประตูท้ายรถ และกระจังหน้า
ซึ่งสะดุดตาด้วยแถบสีเหลืองรับกับฝาครอบกระจกข้างในสีเดียวกัน สร้างความโดดเด่นเฉพาะตัวให้แก่มินิ คูเปอร์ เอสอี ซึ่งมาพร้อมไฟหน้า LED เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน นอกจากนี้ ยังเสริมประสิทธิภาพด้านอากาศพลศาสตร์ด้วยล้ออัลลอยน้ำหนักเบาขนาด 17 นิ้ว ลาย MINI Electric Corona พร้อมยางรันแฟลตที่มีเป็นพิเศษเฉพาะในรุ่นมินิ คูเปอร์ เอสอีเท่านั้น
บีเอ็มดับเบิลยู G 310 R
ราคาจำหน่าย : 209,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) สีพิเศษ 214,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)
บีเอ็มดับเบิลยู G 310 R เป็นรถมอเตอร์ไซค์โรดสเตอร์จากบีเอ็มดับเบิลยูรุ่นแรกที่ใช้เครื่องยนต์ขนาดต่ำกว่า 500 ซีซี ด้วยเครื่องยนต์หนึ่งสูบที่มีน้ำหนักเบาแต่สมรรถนะสูง ระบบช่วงล่างด้านหน้าแบบ upside-down fork พร้อมช่วงล้อสั้นที่ให้ความคล่องตัวแต่ออกแบบให้มีสวิงอาร์มที่ยาวเพื่อเพิ่มความสมดุลในการขับขี่ ที่นั่งสูงจากพื้นเพียง 785 มิลลิเมตร ทำให้ผู้ขับขี่สามารถควบคุมรถได้ในท่วงท่าที่สะดวกสบาย ส่วนหัวใจหลักของบีเอ็มดับเบิลยู G 310 R คือเครื่องยนต์หนึ่งสูบ 313 ซีซี ที่ออกแบบขึ้นใหม่ทั้งหมด ใช้ระบบระบายความร้อนด้วยน้ำ และระบบหัวฉีดน้ำมันแบบไฟฟ้า ให้กำลังสูงสุด 25 กิโลวัตต์/34 แรงม้า ที่ 9,500 รอบต่อนาที พร้อมแรงบิดสูงสุด 28 นิวตันเมตรที่ 7,500 รอบต่อนาที จึงสามารถขับเคลื่อนตัวถังที่มีน้ำหนักเบาเพียง 158.5 กิโลกรัมได้อย่างคล่องตัว
บีเอ็มดับเบิลยู G 310 GS
ราคาจำหน่าย : 219,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) สีพิเศษ 234,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)
ส่วนบีเอ็มดับเบิลยู G 310 GS ถือเป็นรถมอเตอร์ไซค์บีเอ็มดับเบิลยูรุ่นที่สองต่อจากบีเอ็มดับเบิลยู G 310 R ที่ใช้เครื่องยนต์หนึ่งสูบ 313 ซีซี ระบายความร้อนด้วยน้ำเช่นเดียวกัน ล้อหน้าขนาด 19 นิ้ว และระบบกันสะเทือนหน้าที่มีขนาดยาว ยังช่วยให้ผู้ขับขี่อยู่ในท่านั่งหลังตรงที่ผ่อนคลาย พร้อมช่วยในการบังคับทิศทางที่คล่องแคล่วและแม่นยำอีกด้วย
สำหรับระบบช่วงล่างของบีเอ็มดับเบิลยู G 310 GS ใหม่ มีความคล้ายคลึงกับบีเอ็มดับเบิลยู G 310 R ด้วยเฟรมตัวถังเหล็กกล้า และท้ายรถแบบ bolt-on ที่มีความทนทานและแข็งแกร่ง อันเป็นปัจจัยสำคัญทำให้รถมอเตอร์ไซค์คันนี้โดดเด่นทั้งในเรื่องของเสถียรภาพในการขับขี่และความแม่นยำในการบังคับทิศทาง นอกจากนี้ บีเอ็มดับเบิลยู G 310 GS ใหม่ ยังพกระบบช่วงล้างล้อหน้าแบบ upside-down fork มาคู่กับระบบช่วงล่างล้อหลังแบบสวิงอาร์มอลูมิเนียมเดี่ยวและสปริงที่ติดตั้งบนสวิงอาร์มโดยตรง
บีเอ็มดับเบิลยู C 400 X
ราคาจำหน่าย: 349,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) Exclusive Style 379,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)
บีเอ็มดับเบิลยู C 400 X ใหม่ ผสมผสานเสน่ห์และความคล่องตัวของสกู๊ตเตอร์เข้ากับความหรูหราระดับพรีเมียมในแบบของบีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด เพื่อมอบทั้งความสะดวกสบายในการฟันฝ่าการจราจรในเมืองและความสนุกสนานในทุกขณะ โดดเด่นจากด้านหน้าด้วยไฟ LED ในรูปทรงที่เป็นเอกลักษณ์ และแผงกันลมในขนาดที่พอดี ส่วนช่องเก็บของแบ่งพื้นที่ภายในเป็นสองส่วนเพื่อความสะดวกสบายและเป็นระเบียบ พร้อมด้วยช่องเก็บหมวกกันน็อก Flexcase ที่พับเก็บอยู่ใต้เบาะแบบตอนเดียว ทำให้บีเอ็มดับเบิลยู C 400 X ตอบได้ทุกโจทย์ในชีวิตประจำวัน และยังพร้อมรับมือกับการเดินทางไกลได้อีกด้วย ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์หนึ่งสูบที่พัฒนาขึ้นเพื่อมุ่งเน้นความประหยัดน้ำมันโดยเฉพาะ มอบพละกำลังสูงสุด 25 กิโลวัตต์ / 34 แรงม้า ลงสู่ล้อหลังด้วยระบบเกียร์ CVT และสวิงอาร์มที่ออกแบบมาเพื่อลดแรงสั่นสะเทือนและมอบความนุ่มสบายในขณะขับขี่ พร้อมเสริมความสะดวกสบายด้วยหน้าจอ TFT Screen ขนาด 6.5 นิ้ว พร้อม BMW ConnectedRide ที่สามารถเชื่อมต่อและแสดงข้อมูลผ่านสมาร์ทโฟนและหมวกกันน็อกที่รองรับระบบบลูทูธได้อย่างปลอดภัยและสะดวกสบาย
บีเอ็มดับเบิลยู C 400 GT
ราคาจำหน่าย : 399,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)
บีเอ็มดับเบิลยู C 400 GT สมาชิกใหม่ล่าสุดในตระกูลสกู๊ตเตอร์ขนาดกลาง มอบความสะดวกสบายยิ่งขึ้น พร้อมสมรรถนะการขับขี่แบบทัวริ่งในสไตล์แกรน ทัวริสโม ให้เพลิดเพลินทั้งผู้ขับขี่และผู้โดยสารไม่ว่าจะเป็นการขับขี่ระยะใกล้หรือไกล นอกจากเฟรมเหล็กกล้าที่มอบความแข็งแกร่งให้กับระบบช่วงล่างเช่นเดียวกับในรุ่นบีเอ็มดับเบิลยู C 400 X แล้ว บีเอ็มดับเบิลยู C 400 GT ยังมาพร้อมโช้คหน้าแบบเทเลสโคปิก โช้คหลังแบบสปริงสตรัทคู่ พร้อมด้วยดิสก์เบรกคู่ที่ล้อหน้า ดิสก์เบรกเดี่ยวที่ล้อหลัง และระบบ ABS เพื่อมอบความปลอดภัยด้วยแรงเบรกแบบเต็มประสิทธิภาพ ตอกย้ำความเป็นแกรนทัวริสโมด้วยกระจกบังลมที่ได้รับการออกแบบมาให้สูงกว่าบีเอ็มดับเบิลยู C 400 X และช่องเก็บของแบ่งพื้นที่ภายในเป็นสองส่วนเพื่อความสะดวกสบายและเป็นระเบียบ พร้อมด้วยช่องเก็บหมวกกันน็อก Flexcase ที่พับเก็บอยู่ใต้เบาะแบบตอนเดียว อีกทั้งยังมอบความสะดวกสบายให้แก่ทั้งผู้ขับขี่และผู้โดยสารด้วยพนักพิงแยกบนที่นั่งสำหรับผู้ขับขี่ และบอร์ดวางเท้าสำหรับผู้โดยสาร ให้ขับขี่อย่างสะดวกสบายและปลอดภัย ตอบได้ทุกโจทย์ในชีวิตประจำวัน
บีเอ็มดับเบิลยู F 750 GS
ราคาจำหน่าย: 499,000 บาท สำหรับสี Austin Yellow Metallic (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) 539,000 บาท สำหรับสี Stereo Metallic Matt (Exclusive Style) (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)
บีเอ็มดับเบิลยู F 750 GS ได้รับการออกแบบมาเพื่อสิงห์นักบิดขาลุยผู้หลงใหลในจิตวิญญาณและรูปลักษณ์ของมอเตอร์ไซค์เอ็นดูโร่ มาพร้อมที่นั่งที่ได้รับการออกแบบให้มีตำแหน่งต่ำลง ทรงพลังด้วยเครื่องยนต์สองสูบแถวเรียงขนาด 853 ซีซี ระบายความร้อนด้วยน้ำ พกพากำลังสูงสุด 57 กิโลวัตต์ / 77 แรงม้า ที่ 7,500 รอบต่อนาที และแรงบิดสูงสุด 83 นิวตันเมตร ที่ 6,000 รอบต่อนาที บีเอ็มดับเบิลยู F 750 GS และบีเอ็มดับเบิลยู F 850 GS มาในโครงสร้างเฟรมเหล็กกล้าแบบ monocoque เพื่อความแข็งแกร่งในการต้านทานแรงบิดและการขับขี่ที่แม่นยำยิ่งขึ้น ระบบกันสะเทือนล้อหน้าและล้อหลังสามารถตอบสนองได้อย่างฉับไว ด้วยช่วงล่างแบบเทเลสโคปิก และสวิงอาร์มคู่อะลูมิเนียมพร้อม Central Spring strut พร้อมปรับตั้งค่าความหนืดและการยุบตัวของสปริงได้ด้วยระบบไฮดรอลิค อีกทั้งยังสามารถขับขี่ได้อย่างสนุกสนานด้วยโหมดการขับขี่ ‘Rain’ และ ‘Road’ ปลอดภัยทุกการเข้าโค้งด้วยระบบเบรก ABS มาตรฐานของบีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด และระบบ ASC (Automatic Stability Control)
บีเอ็มดับเบิลยู F 850 GS
ราคาจำหน่าย : 575,000 บาท สำหรับสี Light White Uni (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) 615,000 บาท สำหรับสี Pollux Metallic Matt (Exclusive style) (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)
บีเอ็มดับเบิลยู F 850 GS มาพร้อมพละกำลังของเครื่องยนต์สองสูบแถวเรียง ระบายความร้อนด้วยน้ำ ขนาด 853 ซีซี เช่นเดียวกับบีเอ็มดับเบิลยู F 750 GS แต่ทรงพลังกว่าด้วยกำลัง 70 กิโลวัตต์ / 95 แรงม้า ที่ 8,250 รอบต่อนาที และแรงบิด 92 นิวตันเมตรที่ 6,250 รอบต่อนาที โดยในรุ่น Exclusive Style มาพร้อม Riding Modes Pro ที่เพิ่มโหมดการขับขี่ ‘Dynamic’, ‘Enduro’ และ ‘Enduro Pro’ พร้อมเทคโนโลยีทันสมัย อาทิ Dynamic ESA, Dynamic Traction Control (DTC), Keyless Ride และ ABS
บีเอ็มดับเบิลยู F 850 GS Adventure
ราคาจำหน่าย : 675,000 (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)
บีเอ็มดับเบิลยู F 850 GS Adventure เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่สมบูรณ์แบบสำหรับนักผจญภัยที่มองหาเพื่อนสองล้อคู่ใจในการออกสำรวจโลกด้วยมุมมองที่แปลกใหม่ มาพร้อมเครื่องยนต์สองสูบแถวเรียง ระบายความร้อนด้วยน้ำ ขนาด 853 ซีซี ส่งกำลังสูงสุด 70 กิโลวัตต์ / 95 แรงม้า ที่ 8,250 รอบต่อนาที และแรงบิดสูงสุด 92 นิวตันเมตร ที่ 6,250 รอบต่อนาที ได้รับการตั้งค่าแกนข้อเหวี่ยงแบบ 90 องศา และองศาการจุดระเบิดที่ 270/450 องศาเพื่อให้เครื่องยนต์มีเสียงที่ทรงพลังและเร้าใจยิ่งขึ้น
บีเอ็มดับเบิลยู F 850 GS Adventure ได้รับการพัฒนาให้ลดแรงสั่นสะเทือนด้วยเพลาคู่พร้อมระบบ counterbalance ทำงานคู่กับเกียร์ 6 สปีดที่อยู่ด้านซ้ายมือของผู้ขับขี่ตอบโจทย์การขับขี่ที่หลากหลายของนักบิดด้วยโหมดการขับขี่ ‘Rain’ และ ‘Road’ พร้อม Riding Modes Pro ที่เพิ่มโหมดการขับขี่ ‘Dynamic’, ‘Enduro’ และ ‘Enduro Pro’ พร้อมเทคโนโลยีทันสมัย อาทิ Dynamic ESA, Dynamic Traction Control (DTC) และ Keyless Ride ที่ได้รับการติดตั้งมาเป็นมาตรฐาน ปลอดภัยทุกการเข้าโค้งด้วยระบบเบรก ABS มาตรฐานของบีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด และระบบ ASC (Automatic Stability Control) พร้อมไฟเบรกกระพริบฉุกเฉิน (Dynamic Brake Light) มาพร้อมกระจกกันลมขนาดใหญ่ขึ้น สามารถปรับได้ 2 ระดับ รวมถึงการ์ดแฮนด์ เพิ่มการป้องกันจากสภาพลมและฝนให้แก่ผู้ขับขี่ อุปกรณ์พื้นฐานยังมีไฟหน้า LED ที่วางเท้าแบบเอนดูโร่ คันคลัทช์และเบรกปรับได้ โครงป้องกันเครื่องยนต์ และที่วางสัมภาระด้านท้ายในวัสดุสแตนเลสสตีล
บีเอ็มดับเบิลยู R 1250 GS (Limited Edition)
ราคาจำหน่าย: 1,085,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)
บีเอ็มดับเบิลยู R 1250 GS (Limited Edition) HP Style
ราคาจำหน่าย: 1,105,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)
บีเอ็มดับเบิลยู R 1250 GS Adventure (Limited Edition) รุ่น Exclusive Style และ HP Style
ราคาจำหน่าย: 1,174,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)
บีเอ็มดับเบิลยู R 1250 GS สานต่อเอกลักษณ์ความทรงพลัง ผสานกับสมรรถนะการควบคุมที่ยอดเยี่ยม ตอบโจทย์นักผจญภัยที่ต้องการท่องโลกกว้างทุกรูปแบบ มาพร้อมกับเครื่องยนต์ลูกสูบนอน 2 สูบ ขนาด 1,254 ซีซี ระบายความร้อนด้วยอากาศและของเหลว เติมเต็มสมรรถนะเครื่องยนต์ด้วยเทคโนโลยี BMW ShiftCam ที่เสริมความสมดุลของเพลาลูกเบี้ยวและจังหวะการทำงานของเครื่องยนต์ มอบพละกำลังสูงสุด 100 กิโลวัตต์ / 136 แรงม้า ที่ 7,750 รอบต่อนาที และแรงบิดสูงสุด 143 นิวตันเมตร ที่ 6,250 รอบต่อนาที ช่วยให้รถมีสมรรถนะสูงขึ้น ไม่ว่าจะเป็นช่วงกลางหรือช่วงปลาย นอกจากนี้ เพลาลูกเบี้ยวยังเปลี่ยนมาขับเคลื่อนด้วยห่วงโซ่ฟันแทนโซ่ส่งกำลังแบบเดิม ส่วนระบบหัวฉีดคู่และระบบไอเสียใหม่ ผ่านการรับรองมาตรฐานยูโร 4 ที่เน้นประหยัดเชื้อเพลิงและลดการปล่อยมลพิษสู่อากาศ
ระบบกันสะเทือนล้อหลังมีสวิงอาร์มอะลูมิเนียมเดี่ยวที่สามารถปรับตั้งค่าความหนืดและการยุบตัวของสปริงได้ด้วยระบบไฮดรอลิค ส่วนระบบช่วงล่างที่ควบคุมด้วยไฟฟ้า หรือ Dynamic ESA นั้นจะปรับการตอบสนองของโช้คอัพได้ฉับไว ปรับค่าการสั่นสะเทือนให้เหมาะสมตามสภาพถนน ทำให้ขับขี่สบาย และบังคับตัวรถได้ดี โดยบีเอ็มดับเบิลยู R 1250 GS มาพร้อมโหมดการขับขี่สองแบบคือ ‘Rain’ และ ‘Road’ และ Riding Modes Pro ที่เพิ่มโหมดการขับขี่แบบโปร คือ ‘Dynamic’, ‘Dynamic Pro’, ‘Enduro’ และ ‘Enduro Pro’ เสริมด้วยระบบควบคุมการทรงตัวแบบอัตโนมัติ (ASC) และระบบช่วยออกตัวในทางลาดชัน (Hill Start Control) เพิ่มความปลอดภัยทุกการเข้าโค้งด้วยระบบ Dynamic Traction Control และ ABS Pro ที่ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ ส่วนระบบ Dynamic Brake Control หรือ DBC ช่วยให้เบรกหลังทำงานได้ดียิ่งขึ้น โดยการตัดกำลังของเครื่องยนต์เมื่อเบรกในสถานการณ์ฉุกเฉิน ทำให้ยังบังคับรถและควบคุมได้ในทุกสภาวะการขับขี่ ฟังก์ชั่นเหล่านี้ช่วยให้ผู้ขับขี่ขับสนุก เพิ่มความปลอดภัย และมั่นใจในทุกเส้นทาง
บีเอ็มดับเบิลยู R 1250 GS Adventure สะท้อนดีเอ็นเอของนักผจญภัยด้วยสมรรถนะเต็มพิกัดเพื่อการขับขี่ออฟโรดอย่างแท้จริง มาพร้อมโหมดการขับขี่สองแบบคือ ‘Rain’ และ ‘Road’ และ Riding Modes Pro ที่เพิ่มโหมดการขับขี่แบบโปร คือ ‘Dynamic’, ‘Dynamic Pro’, ‘Enduro’ และ ‘Enduro Pro’
สำหรับดีไซน์ของบีเอ็มดับเบิลยู R 1250 GS Adventure ใหม่ นั้นได้แสดงเอกลักษณ์ของมอเตอร์ไซค์สายผจญภัยได้อย่างโดดเด่น ขนาดตัวด้านกว้างนั้นกว้างกว่าบีเอ็มดับเบิลยู R 1250 GS อย่างชัดเจน ขยายขนาดกระจกบังลมด้านหน้าให้กว้างขึ้นและสูงขึ้น ปรับระดับได้ ลดลมปะทะได้ดีขึ้น เสริมด้วยการ์ดแฮนด์ แข็งแรงทนทาน และชุดแครชบาร์ด้านข้างเพื่อป้องกันการกระแทก ส่วนตัวถังน้ำมันปรับให้จุมากขึ้นถึง 30 ลิตร เหมาะสำหรับการขับขี่ระยะไกล มาพร้อมไฟหน้า LED สะดุดตา ล้อซี่ลวด ลาย Cross Spoke และชุดกล่องสัมภาระอะลูมิเนียม (Aluminum Panniers) 3 ใบ ทั้งบีเอ็มดับเบิลยู R 1250 GS และบีเอ็มดับเบิลยู R 1250 GS Adventure ต่างมาพร้อมกับจอแสดงผลสีแบบ TFT ขนาด 6.5 นิ้ว ช่วยให้ผู้ขับขี่ไม่พลาดทุกการเชื่อมต่อ ทั้งยังมาพร้อมกับ BMW Motorrad Multi-Controller ที่ช่วยให้ผู้ขับขี่เข้าถึงการทำงานของรถและการเชื่อมต่อได้สะดวก
ข้อเสนอพิเศษ !! สำหรับบีเอ็มดับเบิลยู* : ยกระดับโปรแกรมบำรุงรักษา BSI เป็นเวลา 6 ปี / 120,000 กิโลเมตร พร้อมรับฟรี ลำโพง Bowers & Wilkins
ลูกค้าที่ทำการจองรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยูตั้งแต่วันนี้ และมีกำหนดส่งมอบรถยนต์ภายในวันที่ 30 เมษายน 2563 จะได้รับข้อเสนอพิเศษ ได้แก่
- เมื่อซื้อรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยูทุกรุ่นพร้อมซื้อโปรแกรมบำรุงรักษา BSI Ultimate ที่ให้ระยะเวลาบำรุงรักษา 5 ปี / 100,000 กิโลเมตร จะได้รับการอัพเกรดระยะเวลาบำรุงรักษาเป็น 6 ปี / 120,000 กิโลเมตร และการรับประกันรวมทั้งสมาชิกภาพ BMW Mobility Service เป็นระยะเวลา 6 ปี ไม่จำกัดระยะทาง
- บีเอ็มดับเบิลยู ขยายช่องทางการจองรถยนต์มากมายหลากหลายรุ่นผ่านทางออนไลน์ที่ bmw.co.th โดยลูกค้า 200 ท่านแรกที่ทำการจองรถยนต์ผ่านช่องทางออนไลน์ภายในวันนี้ ถึงวันที่ 30 เมษายน 2563 จะได้รับลำโพง Bowers & Wilkins ฟรี
- ลูกค้าที่ซื้อรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยู ปลั๊กอินไฮบริดทุกรุ่น**รับฟรี แท่นชาร์จ BMW Wallbox พร้อมฟรีค่าติดตั้ง
- นอกจากนี้ ลูกค้าที่ซื้อรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยู ปลั๊กอินไฮบริดทุกรุ่นแบบสินเชื่อผ่านบีเอ็มดับเบิลยู ไฟแนนเชียล เซอร์วิส ประเทศไทย จะได้รับประกันภัยชั้นหนึ่ง 3 ปี ฟรี
- สำหรับลูกค้าที่ซื้อบีเอ็มดับเบิลยู X1 ทุกรุ่น รับข้อเสนอดาวน์ 0% พร้อมเว้นผ่อนชำระได้จนถึงสิ้นปี 2563 จากแคมเปญ “JOY NOW, PAY NEXT YEAR”เมื่อซื้อรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยู X1 แบบสินเชื่อผ่านบีเอ็มดับเบิลยู ไฟแนนเชียล เซอร์วิส ประเทศไทย ด้วยเงื่อนไขพิเศษนี้ ลูกค้าจะสามารถขยายระยะเวลาการผ่อนจ่ายงวดแรกไปได้ถึงเดือนมกราคม 2564 เพื่อเป็นการช่วยเหลือลูกค้าทุกท่านในช่วงนี้โดยเฉพาะ
- แคมเปญ Loyalty สำหรับลูกค้าบีเอ็มดับเบิลยู สามารถนำรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยูที่ท่านเป็นเจ้าของ รุ่นใดก็ได้ มาเปลี่ยนเป็น บีเอ็มดับเบิลยูซีรี่ส์ 5 และบีเอ็มดับเบิลยู X3 ได้ในมูลค่าที่สูงกว่าทั่วไป
ข้อเสนอพิเศษ !! จากมินิ* UBU : 30 นาทีทอง MINI Flash Deal เฉพาะในวันที่ 25 มีนาคม เวลา 20.10-20.40 น. เท่านั้น
- มินิ ประเทศไทย มอบข้อเสนอสุดพิเศษ 30 นาทีทอง สำหรับลูกค้าที่ลงทะเบียนล่วงหน้าผ่านเว็บไซต์ https://bit.ly/33pwkmn ตั้งแต่วันนี้จนถึง 25 มีนาคม เวลา 00 น.เท่านั้น โดยลูกค้าจะสามารถรับข้อเสนอพิเศษเมื่อซื้อมินิ คูเปอร์ เอส คันทรีแมน ไฮทริม ผ่านช่องทางออนไลน์ www.mini.co.th ในวันเดียวกัน ตั้งแต่เวลา 20.10-20.40 น. เพียงแค่ 30 นาทีเท่านั้น
- สำหรับผู้ที่จองมินิ คูเปอร์ เอส คันทรีแมน ไฮทริม ผ่านช่องทางออนไลน์ ตั้งแต่วันที่ 25 – 31 มีนาคม 2563 และมีกำหนดส่งมอบภายในวันที่ 30 เมษายน 2563 จะได้รับฟรี
- ประกันภัยชั้นหนึ่ง หนึ่งปีเต็ม
- ประกันสุขภาพโควิด-19
- ตัวกรองอากาศ MINI Fine Dust Filter
ลูกค้าที่จองรถยนต์มินิ (เฉพาะรุ่นที่กำหนดเท่านั้น) ตั้งแต่วันนี้ และมีกำหนดส่งมอบภายในวันที่ 30 เมษายน 2563 จะได้รับการยกระดับโปรแกรมบำรุงรักษา MSI จากระยะเวลา 3 ปี / 60,000 กิโลเมตร เป็น 6 ปี / 120,000 กิโลเมตร
ข้อเสนอพิเศษ !! สำหรับบีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด : 3ASY RIDE
ลูกค้าที่จองมอเตอร์ไซค์บีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราดรุ่นที่กำหนดด้วยการผ่อนชำระ และมีกำหนดส่งมอบตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน ถึง 31 พฤษภาคม 2563 จะได้รับฟรี โปรแกรมบำรุงรักษา BMW Motorrad Service Inclusive ระยะเวลา 3 ปี*** และการรับประกัน 3 ปี พร้อมข้อเสนอพิเศษอีกมากมาย
ข้อเสนอพิเศษสำหรับมอเตอร์ไซค์รุ่นต่าง ๆ ได้แก่
- บีเอ็มดับเบิลยู G 310 R / G 310 GS ผ่อนชำระรายเดือนเริ่มต้นที่ 3,XXX บาท พร้อมเว้นผ่อนชำระนาน 3 เดือน
- บีเอ็มดับเบิลยู C 400 X / C 400 GT ผ่อนชำระรายเดือนเริ่มต้นที่ 5,XXX บาท
- บีเอ็มดับเบิลยู F 750 GS / F 850 GS ผ่อนชำระรายเดือนเริ่มต้นที่ 7,XXX บาท พร้อมเว้นผ่อนชำระนาน 3 เดือน
- บีเอ็มดับเบิลยู F 850 GSA ผ่อนชำระรายเดือนเริ่มต้นที่ 10,XXX บาท
- บีเอ็มดับเบิลยู R 1250 GS / R 1250 GSA ผ่อนชำระรายเดือนเริ่มต้นที่ 17,XXX บาท
- บีเอ็มดับเบิลยู R 1200 GS / R 1200 GSA ผ่อนชำระรายเดือนเริ่มต้นที่ 15,XXX บาท พร้อมเว้นผ่อนชำระนาน 8 เดือน
- บีเอ็มดับเบิลยู R 1200 RT ผ่อนชำระรายเดือนเริ่มต้นที่ 20,XXX บาท พร้อมเว้นผ่อนชำระนาน 3 เดือน
- บีเอ็มดับเบิลยู F 800 R ผ่อนชำระรายเดือนเริ่มต้นที่ 7,XXX บาท พร้อมเว้นผ่อนชำระนาน 3 เดือน
- บีเอ็มดับเบิลยู R 1200 R ผ่อนชำระรายเดือนเริ่มต้นที่ 17,XXX บาท พร้อมเว้นผ่อนชำระนาน 3 เดือน
- บีเอ็มดับเบิลยู S 1000 R / S 1000 XR / S 1000 RR (2018) ผ่อนชำระรายเดือนเริ่มต้นที่ 10,XXX บาท พร้อมเว้นผ่อนชำระนาน 3 เดือน
- บีเอ็มดับเบิลยู R nineT Pure ผ่อนชำระรายเดือนเริ่มต้นที่ 13,XXX บาท พร้อมเว้นผ่อนชำระนาน 2 เดือน
- บีเอ็มดับเบิลยู R nineT Racer / R nineT Scrambler / R nineT Urban G/S / R nineT ผ่อนชำระรายเดือนเริ่มต้นที่ 15,XXX บาท พร้อมเว้นผ่อนชำระนาน 1 เดือน
- บีเอ็มดับเบิลยู K 1600 Grand America ผ่อนชำระรายเดือนเริ่มต้นที่ 26,XXX บาท พร้อมเว้นผ่อนชำระนาน 1 เดือน
*บริษัทขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า
**ไม่รวมบีเอ็มดับเบิลยู i
***ไม่รวมบีเอ็มดับเบิลยู C 650 GT, C 650 Sport, R 1250 RT และ K 1600 B