New MG HS ได้ลองแล้วจะรัก
BY…TEERA
ปัจจุบันรถยนต์กลุ่มเอสยูวี ในท้องตลาดได้รับความนิยมสูงขึ้น จึงทำให้หลายค่ายได้ออกรุ่นใหม่มาแข่งขันกันอย่างต่อเนื่อง โดยส่วนใหญ่ได้ชูจุดเด่นด้านเทคโนโลยี รวมถึงออปชั่นต่าง ๆ เพื่อหวังช่วงชิงส่วนแบ่งการตลาด ซึ่งก็รวมไปถึงค่าย MG ที่ส่งน้องใหม่อย่าง MG HS เข้ามาโลดแล่นในประเทศไทย
New MG HS เปิดตัวในไทยอย่างเป็นทางการ เมื่อช่วงเดือนกันยายนที่ผ่านมา ซึ่งเป็นโมเดลใหม่ ถูกจับวางตำแหน่งให้แทนที่ MG GS ได้รับการออกแบบเพื่อให้เป็นรถที่มีความสง่างาม ผสมผสานระหว่างความหรูหรากับความสปอร์ต โดดเด่นด้วยเส้นสายตัวถังแบบ British Shoulder Line ที่เน้นเรื่องความโค้งมนของตัวรถ
เพื่อให้เป็นที่รู้จักมากขึ้นพร้อมทั้งเรียนรู้ไปกับ New MG HS ว่ามีอะไรดีบ้าง ทางเอ็มจี จึงได้จัดกิจกรรมทดสอบขึ้นโดยใช้เส้นทางกรุงเทพฯ – เขาใหญ่ ในระยะทางที่ไม่ใกล้ ไม่ไกล แต่พร้อมจับทุกความรู้สึกตลอดการขับขี่
สำหรับการขับจากกรุงเทพฯ – เขาใหญ่ นั่งด้านในตัวรถที่มีขนาดกว้างขวางเหมาะกับครอบครัวขนาดกลางที่ต้องการเดินทางในช่วงวันหยุดหรือการใช้งานในเมืองที่ต้องการความคล่องตัว และดูดีในทุกการใช้งาน เบาะนั่งขนาดใหญ่ให้ความกระชับตัวแม้ว่าผู้ทดสอบจะเป็นผู้หญิงก็ตาม อุปกรณ์ เยอะแยะมากมายแต่ก็สามารถใช้งานได้ง่าย จัดวางในตำแหน่งที่ง่ายต่อการใช้งาน กดคันเร่งออกตัวเบา ๆ รถเร่งออกไปอย่างทันใจ ให้การขับขี่ที่สมูทเหมือนรถระดับหรู
MG HS มีโหมดการขับขี่อย่างหลากหลาย เริ่มจาก Normal โหมดขับขี่แบบปกติ ซึ่งสามารถทำความเร็วจาก 0-100 ทำได้ค่อนข้างไวมาก ตัวรถที่มีขนาดใหญ่แต่เครื่องเล็กก็ไม่ได้รู้สึกอืดเลย จังหวะเร่งแซงก็ทำได้มั่นใจโหมดนี้ก็เพียงพอต่อการใช้งานในชีวิตประจำวัน ทั้งขับแบบปกติ และการเร่งแซง และการทดสอบในโหมด Eco ซึ่งเป็นโหมดการขับขี่แบบประหยัดน้ำมัน คันเร่งจะรู้สึกหน่วง ๆ ขึ้น เครื่องยนต์ตอบสนองช้าลง คันเร่งตอบสนองไม่ไวเท่าในโหมด Normal ซึ่งโหมดนี้ เหมาะสำหรับการใช้งานแบบไม่รีบ หรือในช่วงที่รถติด ๆ ต่อด้วยการทดสอบในโหมด Sport ในโหมดนี้คันเร่งติดเท้าดี เรียกว่าเหยียบปุ๊บ มาปั๊บ ขับสนุกขึ้น
ภายนอกดูดี สไตล์ MG
เริ่มจากกระจังหน้าดีไซน์ที่เป็นเอกลักษณ์ ตามแนวคิด Stella Magnetic Field ที่ได้แรงบันดาลใจ มาจากกลุ่มดาวบนท้องฟ้าที่ดึงดูดเข้าหากัน หลังโลโก้ MG มีเรดาห์สำหรับกะระยะ ทำงานร่วมกับกล้องที่อยู่ด้านบนของกระจกหน้า นั่นหมายความว่า ฟังก์ชั่นของเจ้าคันนี้มีระบบควบคุมความเร็วแบบแปรผันมาให้นั่นเอง นอกจากนี้ ยังมีระบบเตือนการชนด้านหน้า, ระบบเบรกอัตโนมัติ มาให้อีกด้วย ในส่วนของไฟหน้าก็เป็นแบบ LED Projector พร้อมระบบเปิด-ปิดไฟหน้าแบบอัตโนมัติ และไฟหน้ายังสามารถปรับสูง-ต่ำแบบอัตโนมัติอีกด้วย ไฟ Daytime Running Lights ด้านล่างสุดเป็นไฟตัดหมอก โดยรวมของด้านหน้า ถือว่าให้ออปชั่นมาแบบครบ ๆ
ด้านข้าง ตัดด้วยคิ้วซุ้มล้อ และชายล่างสีดำด้าน รวมไปถึงการเล่นลวดลายของคิ้วโครเมี่ยมที่ชายล่างของประตู ช่วยเพิ่มความหรูหราไปอีกแบบกระจกมองข้างสีเดียวกับตัวรถ มีไฟเลี้ยวในตัว ด้านล่างของกระจกมองข้างมีกล้อง ซึ่งแน่นอนว่าเจ้าคันนี้ ได้ฟังก์ชั่นกล้องมุม 360 องศา เตือนมุมอับสายตาด้านข้างไฟท้ายแบบ Space Light Field ไฟเลี้ยวแบบ Sequential ที่ลำแสงจะวิ่งจากด้านในออกด้านนอก ฝาท้ายไฟฟ้าพร้อมกล้องมองหลังในรุ่น D และ X จะได้เป็นล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้ว และในรุ่น C ซึ่งเป็นรุ่นเริ่มต้นจะเป็นล้ออัลลอยขนาด 17 นิ้ว
ภายในหรูหรา ทันสมัย
ด้วยโทนสีแดง ออกแบบให้มีความโค้งมนโอบรับสรีระ ตกแต่งด้วยวัสดุภายในให้สัมผัสนุ่ม Soft Touch ครอบคลุมทั้งบริเวณคอนโซลหน้า และแผงประตูทั้งด้านหน้าและด้านหลังเบาะนั่งคู่หน้าปรับด้วยไฟฟ้าแบบ Bucket Seat ทรงสปอร์ตสีดำสลับแดง และยังมีส่วนที่หุ้มด้วยวัสดุ Alcantara (เฉพาะรุ่น X) เบาะหลังนั่งสบาย ปรับพับได้แบบ 60:40 พร้อมพนักพิง ปรับองศาการเอนได้ มีที่วางแขนขนาดใหญ่ มีแอร์หลังและไฟเส้นขอบในห้องโดยสาร Interactive Ambient Light ที่สามารถเปลี่ยนได้ 64 เฉดสี โดยไฟนี้จะติดทันทีที่เปิดประตู รวมทั้งยังสามารถปรับเปลี่ยนแบบอัตโนมัติตามโหมดการขับขี่
หน้าจอเครื่องเล่นขนาด 10 นิ้ว แบบทัชสกรีน มีฟังก์ชั่นหลากหลาย เช่น แผนที่นำทาง, ภาพรอบคัน, ปรับแอร์, แรงดันลมยาง, ระบบความบันเทิงครบครัน มีเพลงใน True ID Music เป็นล้านเพลง และสามารถรับข่าวสารผ่านหน้าจอจากเว็บ Sanook เรือนไมล์ขนาด 7 นิ้ว ที่แสดงข้อมูลทั้งเรื่องการขับขี่ ระบบความปลอดภัย ระบบความบันเทิง และระบบนำทาง
NEW MG HS มาพร้อมขุมพลังเครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบขนาด 1.5 ลิตร ขับเคลื่อนด้วยระบบเกียร์ TST (Twin Clutch Sportronic Transmission) แบบ 7 สปีด ให้พละกำลังสูงสุด 162 แรงม้า และแรงบิดสูงสุดที่ 250 นิวตัน-เมตร ในรอบที่ต่ำเพียง 1,700 รอบต่อนาที พร้อมรองรับน้ำมัน E85
ปิดท้ายด้วยโหมด Super Sport จุดเด่นของโหมดนี้ คือ ปุ่มสีแดง ๆ ที่แป้นพวงมาลัย ซึ่งง่ายต่อการใช้งานและมีการออกแบบค่อนข้างสปอร์ต นึกถึงพวงมาลัยรถซูเปอร์คาร์เลยทีเดียว ในโหมดนี้ เราสามารถลากรอบเครื่องได้สูงสุด ทำให้รู้สึกได้ถึงพละกำลังของเครื่องยนต์สูงสุด การทรงตัว แม้ว่าจะใช้ความเร็วสูงในบางช่วงเรียกได้ว่ามั่นใจ ทั้งพวงมาลัยและช่วงล่างที่ถูกปรับมาให้พอดี ตัวรถไม่ย้วย และไม่แข็งกระด้าง ช่วงที่เข้าโค้งแบบแรง ๆ ตัวรถก็ไม่โคลงเคลงทำให้รู้สึกขับแล้วมั่นใจดี
เทคโนโลยีความปลอดภัย จัดเต็ม ถ้าเทียบกับราคาตัวรถ ทั้งระบบควบคุมการเบรกขณะเข้าโค้ง CBC (Curve Brake Control) ระบบลดความเสี่ยงที่จะทำให้รถพลิกคว่ำ ARP (Anti Rolling Program) ระบบตรวจสอบความผิดปกติของลมยาง TPMS (Tire Pressure Monitor System) และมีอีก 4 ระบบที่ช่วยป้องกันอุบัติเหตุที่อาจเกิดจากมุมอับสายตา ประกอบด้วย
- ระบบช่วยเตือนการเปิดประตู DOW (Door Open Warning)
- ระบบช่วยเตือนเมื่อต้องการเปลี่ยนเลน LCA (Lane Change Assist)
- ระบบช่วยเตือนมุมอับสายตา BSD (Blind Spot Detection)
- ระบบช่วยเตือนขณะถอยหลัง RCTA (Rear Cross Traffic Alert)
รวมไปถึงระบบความปลอดภัยอัจฉริยะ Advanced Driver Assistance Systems (ADAS) มากถึง 7 ระบบ ประกอบด้วย
- ระบบเปิด-ปิดไฟสูงอัตโนมัติ IHC (Intelligent High-Beam Control)
- ระบบช่วยเตือนเมื่อเสี่ยงต่อการชนรถยนต์คันหน้าในขณะขับขี่ FCW (Forward Collision Warning)
- ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน ACC (Adaptive Cruise Control)
- ระบบช่วยเตือนเมื่อรถออกนอกเลน LDW (Lane Departure Warning)
- ระบบช่วยควบคุมรถเมื่อรถจะออกนอกเลน LDP (Lane Departure Prevention)
- ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน LKA (Lane Keep Assist)
- ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติเมื่อความเร็วต่ำ TJA (Traffic Jam Assist)
สุดท้ายสำหรับ NEW MG HS ที่มาดีจริง ๆ ทั้งหน้าตาที่ดูทันสมัย อุปกรณ์ที่จัดมาอย่างเต็มพิกัด พร้อมทั้งสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ไม่ได้เหมาะเพียงผู้ชายเท่านั้นผู้หญิงก็สามารถขับขี่ได้โดยง่าย เช่นกัน สามารถรับส่งเด็ก ๆ พร้อมความบันเทิงภายในรถยิ่งทำให้การอยู่กับรถนานก็ไม่รู้สึกเบื่อ
- MG HS TURBO รุ่น C ราคา 9.19 แสนบาท
- MG HS TURBO รุ่น D ราคา 1.019 ล้านบาท
- MG HS TURBO รุ่น X ราคา 1.119 ล้านบาท